บทความที่อธิบายถึงวิธีการของบริษัทญี่ปุ่นในการขยายตัวไปต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในแต่ละยุคตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองและว่าพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไร
(ขั้นตอนที่ 1) - หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 (1945-1985)
ทางประวัติศาสตร์นั้น อุตสาหกรรมการผลิตนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของบริษัทญี่ปุ่นในการขยายตัวไปต่างประเทศ
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง มันเป็นอุตสาหกรรมผ้า,เหล็กและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เป็นตัวนำร่องของการส่งออกไปต่างประเทศของบริษัทญี่ปุ่น ที่ได้รับการสนับสนุนจากความต้องการพิเศษในเกาหลี ในช่วงเวลาของการเจริญเศรษฐกิจสูงสุด บริษัทชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่นได้รับการแข่งขันในตลาดระดับโลกและกระตุ้นการขยายตัวไปต่างประเทศกับซัพพลายเออร์ญี่ปุ่น โดยเฉพาะบริษัทอันดับ 1
ในช่วงปี 1980 สินค้าที่คงทนเช่น รถยนต์ และโทรทัศน์ที่มีสี และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ชิปหลอดความจำและความจุ เป็นที่ครอบคลุมในตลาดต่างประเทศ
ในด้านการบริหารการจัดการเชิงปฎิบัติ นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องการความแข็งแกร่งในด้านการเสริมสร้างการด้านการตลาดส่งออกและงานขาย
(ขั้นตอนที่ 2) - หลังจากเริ่มต้นของ Plaza Accord (1985-2010)
อย่างไรก็ตาม หลังจากค่าเงินเยนที่เพิ่มขึ้นนั้นตามมาพร้อมกับ Plaza Accord ในปี 1985 เงินดอลลาร์ได้ตกอันดับจาก 240 เยนก่อนที่จะมี Accord ไปยังอันดับ 120 ในปี 1998
อุตสาหกรรมญี่ปุ่นนั้นถูกบังคับให้ขยายกิจการต่างประเทศโดยจำนวนที่ไม่น้อย โดยตั้งฐานการผลิตโดยการลงทุนโดยตรงและโอนการผลิตและคำสั่งการจัดหาวัสดุเพื่อที่จะย้ายการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น
เป็นครั้งที่สองของการขยายตัวไปต่างประเทศของอุตสาหกรรมการผลิต ในช่วงนี้ การขยายตัวของบริษัทผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร ของใช้ประจำวัน เครื่องสำอางและยา กลับมาเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องมากขึ้น
เป็นครั้งที่สองของการขยายธุรกิจต่างประเทศของอุตสาหกรรมการผลิต
ในเวลานี้การขยายตัวของธุรกิจต่างประเทศของอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะในด้านอาหาร,ของใช้ประจำวัน,เครื่องสำอางและอุตสาหกรรมเภสัช กลับมาเป็นทีต้องการมากขึ้น
ทุกอุตสาหกรรมนั้นมีการเน้นตลาดภายในประเทศที่แข็งแกร่งเนื่องจากลักษณะของผลิตภัณฑ์ของพวกเขา เป้าหมายหลักของการขยายตัวไปยังต่างประเทศนั้นคือการรักษาต้นทุนแรงงานต่ำในระยะสั้น ในขณะเดียวกันนั้นมีเป้าหมายที่จะพัฒนาตลาดท้องถิ่นในระยะยาว
(ขั้นตอนที่ 3) การเติบโตของจีน (2010-ปัจจุบัน)
ในปี 2010 มีเรื่องที่มีผลกระทบมากต่อโลกและประเทศญี่ปุ่น เมื่อจีนได้นำหน้าญี่ปุ่น เพื่อกลายเป็นเศรษฐกิจของโลกอันดับสองในเชิงมูลค่า GDP
ตั้งแต่นั้นมา เศรษฐกิจของประเทศจีนก็เติบโตอย่างไม่หยุดนิ่ง ด้วยการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีการนำทางโดยรัฐบาลและการพัฒนาในเมือง รวมถึงกลุ่มของบริษัท IT ที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่รวมอยู่ในกลุ่ม "BATH" (Baidu,Alibaba,Tencent,Huawei) ซึ่งมีบทบาทในตลาดเทียบเท่ากับบริษัทญี่ปุ่นชั้นนำในมูลค่าทางการตลาด
ในการตอบสนองนั้น สมาพันธ์ประชาชนของตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทำการเสริมสร้างให้ความร่วมมือในภูมิภาค ในปี 2010 ได้ทำการลดค่าภาษีนำเข้าเกือบทั้งหมดและเริ่มรวมมาตรฐานสำหรับเครือข่ายโลจิสติกส์ การผ่านการขนส่ง และมุมมองด้านอื่นๆ ของโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจ
ในความเป็นจริงนั้น ผู้บริหารการจัดการของประเทศสมาชิกอาเซียนนั้นได้บ่งบอกความเข้าใจของตนเองต่ออาเซียนให้เป็น "ภูมิภาค" ที่ในองค์ประกอบเศรษฐกิจเดียวกันและพวกเข้าได้ทำการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศในภูมิภาค
ส่วนในด้านของประเทศญี่ปุ่นนั้นต้องเผชิญกับภาวะตัวเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและการถดถ่อยตั้งแต่เหตุการณ์ฟองสบู่แตก และยังไม่ได้ทำการดำเนินการอย่างมั่นใจได้ ซึ่งนี้เป็นบริบทของกลยุทธ์ต่างประเทศ
แผนการกลยุทธ์วิธีต่างประเทศในอนาคต: สิ่งที่บริษัทญี่ปุ่นควรทำ
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ทิศทางที่บริษัทญี่ปุ่นควรจะใช้กลยุทธ์วิธีต่างประเทศสามารถสรุปได้ในสามหัวข้อดังนี้
1) การเปลี่ยนทิศทางไปสู่การใช้แนวทางที่ให้ความสำคัญกับตลาด
2) การพัฒนาตลาดโดยการใช้ความสามารถและความรู้หลักรวมถึงการปรับเปลี่ยนวิธีการให้เข้ากับยุคสมัย
3) เสริมการเชื่อมโยงภายในทวีปเอเชีย
1) การเปลี่ยนทิศทางไปสู่การใช้แนวทางที่ให้ความสำคัญกับตลาด
ผู้ผลิตญี่ปุ่นโดยทั่วไปจำเป็นต้องตัดสินใจเปลี่ยนแปลงจากแบบแผนที่เคยประสบความสำเร็จในยุคด้านการส่งออกและการถ่ายถอดจากแบบแผนใหม่ เหลืออยู่เพียงบริษัทบางรายที่ยังคงหยุดคิดถึงคำว่า "คุณภาพของญี่ปุ่น" แต่นี่เป็นเพียงการอภิปรายเกี่ยวกับข้อกำหนด และพวกเขาควรดำเนินธุรกิจของตัวเองตามสิ่งที่ผู้ใช้และผู้บริโภคต้องการ
ไม่มีการขาดแคลนตัวอย่างที่ผู้ผลิตญี่ปุ่นล้าสมัยกับเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในด้านดัชนีภายนอกเช่นงบลงทุนที่ได้รับอนุมัติ กิจกรรมวิจัยและพัฒนา การได้รับใบรับรองระหว่างประเทศ และข้อมูลทางการเงิน เช่นการเติบโตของยอดขายและขอบเขตกำไร โดยเฉพาะในด้าน "ความสามารถทางเทคโนโลยี" ซึ่งบริษัทญี่ปุ่นภาคภูมิใจในความเชี่ยวชาญของพวกเขา เป็นตัวอย่างการมีบริษัทประเทศจีนและอาเซียนมอบเทคโนโลยีให้กับบริษัทญี่ปุ่นในพื้นที่นั้นที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างรวดเร็ว
ถ้า "การประสานงาน" เพียงแค่เปลี่ยนจากประเทศญี่ปุ่นไปยังต่างประเทศและงานเพียงแค่สามารถทำได้ภายในวงรอบของบริษัทญี่ปุ่นเท่านั้น ขอบเขตของธุรกิจจะถึงขีดจำกัดโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจต่างประเทศของบริษัทญี่ปุ่น และหากเราต้องการขยายตัวเข้าสู่ตลาดต่างประเทศในความหมายแท้จริงของคำว่า "ตลาด" เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวคิดนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นั่นหมายถึง โดยการมอบหมายและรวมหน้าที่การจัดการรวมถึงการขายและการวิจัยและพัฒนา ให้กับบริษัทในท้องถิ่น (หรือฐานภูมิภาค) เราจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็ว ปฏิรูปโครงสร้างที่มีราคาสูงของญี่ปุ่น และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในท้องถิ่น
การทำเช่นนี้ เราไม่ควรถูกผูกพันโดยรูปแบบเก่า เช่น การนำเสนอคำแนะนำที่ขั้นสูงจากประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศก้าวหน้าไปยังตลาด แต่เราควรมีมุมมองที่เห็นตลาดที่กำลังเจริญขึ้นเป็นสถานที่สำหรับนวัตกรรมในทางนี้
ด้วยความเกี่ยวข้องนี้ เราควรเข้าใจว่าญี่ปุ่นอยู่ในสถานการณ์ที่นวัตกรรมถูกจำกัดอย่างมากเนื่องจากอัตราการเกิดลดลงและสังคมที่มีอายุสูงอยู่มากนั้น หรือเพราะเป็นประเทศที่มีระดับก้าวหน้า จึงชัดเจนว่าตลาดใดที่เหมาะสมกว่ากันสำหรับนวัตกรรม: ประเทศที่กำลังเจริญเติบโตกับประชากรที่เป็นรุ่นหนุ่มรุ่นสาวที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีความสนใจ หรือประเทศญี่ปุ่นที่เป็นสังคมที่มีอายุสูงที่สุดในโลก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ผู้ใช้หลักคือผู้บริโภค
แม้ว่าในประเทศญี่ปุ่นก็มีการใช้คำว่า "พกพาก่อน" ซึ่งเริ่มมีการใช้งาน อย่างไรก็ตาม เราควรจะไม่ลืมความแตกต่างในสภาพแวดล้อมตลาด เช่น ความจริงที่อุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งได้รับการแพร่หลายอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (มากกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์) เป็นเส้นทางสำหรับโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตในตลาดเกิดเป็นครั้งแรก
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเติบโตของรายได้และตลาดในระดับประชาชาติเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีประชากรที่มีอายุน้อยและยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาโครงสร้างสังคมที่ยังไม่เต็มที่ รวมถึงการเปิดเผยเทคโนโลยีผ่านแหล่งข้อมูลที่เปิดเผยและการนำเสนอแนวปฏิบัติที่สูงขั้นโดยบริษัทไอทีขนาดใหญ่ของประเทศจีน ได้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การนำไปใช้ในสังคมในพื้นที่ที่ได้รับการกระจายตัวอย่างช้าๆของญี่ปุ่นมีความคืบหน้าขึ้น
2) การพัฒนาตลาดโดยการใช้ความสามารถและความรู้หลักรวมถึงการปรับเปลี่ยนวิธีการให้เข้ากับยุคสมัย
นอกจากบริษัทที่ได้ขยายธุรกิจไปต่างประเทศและกำลังมองหาวิธีในการพัฒนาตลาดในพื้นที่ในประเทศนั้น ๆ แล้วรวมถึงอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การผลิต (ค้าปลีก ค้าส่ง โลจิสติกส์ เช่น คลังสินค้าและการขนส่งทางบก การประกันอุบัติเหตุที่ไม่ใช่ถึงชีวิต การบริการอาหาร การศึกษา การท่องเที่ยว) และอุตสาหกรรมที่ต้องการภายในประเทศ (รถไฟ การพัฒนาเมือง ท่าเรือ สนามบิน อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น) บริษัทเหล่านี้มักจะเข้าสู่ตลาดใหม่โดยช้ากว่าอุตสาหกรรมการผลิต แต่พวกเขามีความเข้าใจเชิงลึกและความเป็นเลิศทางดำเนินการที่มาจากการเป็นอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นต่อความต้องการภายในประเทศที่เติบโตขึ้น ซึ่งเติบโตและเจริญเติบโตในตลาดญี่ปุ่นที่มีการแข่งขันอยู่อย่างมากในก่อนหน้านี่
เราเชื่อว่านี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในการใช้วิธีเข้าตีล้ำตลาดที่กำลังเจริญเติบโตอย่างชัดเจน
3) เสริมการเชื่อมโยงภายในทวีปเอเชีย
ประเทศจีนมีความเสี่ยงที่ชัดเจนในหลายด้าน เช่น สงครามการค้าของสหรัฐฯและจีน จึงมีความต้องการเร่งด่วนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการรวมกลุ่มฐานการผลิตเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยมีการรับรู้ถึงการเชื่อมโยงภายในและภายนอกภูมิภาคเอเชีย และการสร้างระบบการจัดการที่รวมระดับโลก ซึ่งรวมถึงการแบ่งแยกงานและการทำงานร่วมกันระหว่างฐานผลิตทั้งหมด เป็นผลมีส่วนเสริมกันที่บริษัทไม่ผลิตและอุตสาหกรรมที่มุ่งหวังต่อความต้องการภายในดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในการให้บริการระบบคำสั่งการทำงานเสริมและการจ้างเหมาสำหรับโซ่คุณค่าของบริษัทญี่ปุ่นในภูมิภาคตามแนวโน้มนี้ โลจิสติกส์ คลังสินค้า อสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรม และบริการพนักงานชั่วคราว เป็นบางสิ่งที่น่าสนใจในการลงทุน
ความสำคัญของการพัฒนาธุรกิจด้วยการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น
ความสำคัญของการพัฒนาธุรกิจด้วยการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่นมีการกล่าวถึงมาตรการทั้งสามตัวที่จะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกลยุทธ์การต่างประเทศของบริษัทบริษัทญี่ปุ่นในอนาคต (1. การเปลี่ยนทิศทางไปสู่การใช้แนวทางที่ให้ความสำคัญกับตลาด, 2. การพัฒนาตลาดโดยการใช้ความสามารถและความรู้หลักรวมถึงการปรับเปลี่ยนวิธีการให้เข้ากับยุคสมัย, และ 3. เสริมการเชื่อมโยงภายในทวีปเอเชีย) ที่จะสามารถทำได้เฉพาะผ่านการ "ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่น" อย่างไรก็ตาม,(วิธีที่เป็นไปได้และอยู่บนหลักตามความเป็นจริงนั้นคือการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่น)
การรวบรวมความรู้เกี่ยวกับตลาดของแต่ละประเทศ, เครือข่ายมนุษย์, และการเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์ด้วยตนเอง ไม่เพียงแต่ใช้เวลาและทรัพยากรมนุษย์อย่างมาก, แต่ยังเป็นวิธีที่ไม่อยู่บนหลักความเป็นจริง
เราเชื่อว่าวิธีที่เป็นไปได้นั้นคือ "การร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น" ผ่านการทำ M&A และ Joint ventures ซึ่งเรานั้นสนับสนุน ในอีกเชิงนั้น พันธมิตรผ่านทุน
ขอบคุณที่อ่านจนจบบทความ หากมีคำถามหรือข้อสงสัยนั้นเกี่ยวกับเนื้อหา, ให้ทำการติดต่อเราโดยใช้แบบฟอร์มสอบถาม
Comments