top of page
ค้นหา

ความกังวลเกี่ยวกับรัฐประหารและการเมืองภายในเมียนมา - การตอบสนองของสมาชิกประเทศอาเซียนต่อเหตุการณ์ "ฉากสองของ Afghanistan"


ตั้งแต่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 สถานการณ์การเมืองของเมียนมาอยู่ในความวุ่นวาย


สถานการณ์นั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากทหารเมียนมาได้รับการควบคุมของประเทศอีกครั้งผ่านการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564


การใช้ความรุนแรงที่ไม่เลือกของทหารเมียนมาต่อประชาชนที่ไม่มีอาวุธ รวมถึงการยิงผู้ชุมนุมนั้นได้รับการรายงานข่าวอย่างกว้างขวางก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ในพื้นที่ชายแดน บางกลุ่มที่มีคนที่มีอาวุธราว 20 กลุ่ม ซึ่งได้ต่อสู้กับรัฐบาลเป็นเวลาสิบปีและได้ใช้โอกาสนี้ในการครอบครองด่านหน้าและคลังอาวุธ ในการตอบสนอง ทหารเมียนมาได้ก่อเหตุระเบิดและส่งผู้อพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้าน


ในค่ายผู้อพยพที่ข้ามชายแดนในประเทศไทยมีจำนวนผู้บาดเจ็บจำนวนมากเกิดจากการต่อสู้ระหว่างทหารและกลุ่มชาติพันธ์ุที่มีอาวุธที่เช่น กองทัพกบฏชาวกะเหรี่ยง (KNLA) ชาวโรฮิงญามุสลิม กลุ่มชาติพันธุ์เล็กน้อยใหญ่ในเมียนมา หลบหนีไปยัง Bangladesh อย่างมากหลังจากการสังหารหมู่โดยทหารในปี 2560


นิตยสาร The Economist ตั้งชื่อบทความ "เมียนมาอาจเป็นรัฐที่ล้มเหลวในเอเชีย" แสดงถึงความเป็นกังวล กล่าวว่า "แม้ว่าเมียนมาจะยังไม่ได้ไม่มีกฎหมายเหมือนกับ Afghanistan แต่ว่ามันมีแนวโน้มไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว"


เงินทุนต่างประเทศที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้เกือบจะหยุดลงและการบริการด้านสาธารณะถูกขัดขวาง


ตั้งแต่การรัฐประหาร ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเกือบทั้งหมด รวมถึงบริษัทญี่ปุ่นทุกบริษัทได้หยุดการลงทุนเพิ่มเติม และรัฐบาลส่วนอื่นก็หยุดสนับสนุนการพัฒนาเพิ่มเติมการพัฒนาความช่วยเหลือการพัฒนาทางการเมือง (ODA) กิจการถูกขัดขวางเนื่องจากมีการประท้วงและบริการทางสาธารณะนั้นก็หยุดให้บริการเช่นเดียวกัน


การพัฒนาเหล่านี้มีผลกระทบที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ ก่อนรัฐประหาร ธนาคารโลกได้คาดการณ์อัตราการเติบโตเป็นร้อยละเกือบ 6% ของปีนี้ อย่างไรก็ตามนั้น ตอนนี้กำลังคาดการณ์ว่าจะลดลงประมาณ 10% บางการวิเคราะห์นั้น ที่มองเห็นด้านลบจากการวิเคาะห์นั้นก็มองเห็นด้านลบและคาดการณ์ว่าจะเกิดการหดตัวลงประมาณ 20%


การตอบสนองจากสมาชิกประเทศอาเซียน


ในสถานการณ์นี้ วันที่ 24 เมษายน, สมาชิกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้จัดการประชุมฉุกเฉินที่เมืองหลวง Jakarta ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อที่จะพูดคุยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมา ผู้บัญชาการทหารอาวุโส Min Aung Hlaing จากประเทศเมียนมาก็เข้าร่วมประชุม

ผู้นำประเทศอาเซียนนั้นได้กระตุ้นให้สิ้นสุดการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา


อินโดนิเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์เป็นผู้นำในการเริ่มนโยบายนี้ ในวันที่ 19 มีนาคม ประธานาธิปดี Joko Widodo กระตุ้นบรูไน ประเทศที่เป็นประธานอาเซียนในปี 2564 ทำการเรียกประชุม และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย Muhyiddin Yassin และนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ Lee Hsien Loong ได้แสดงการสนับสนุนของพวกเขาทันที


การที่ประเทศเมียนมาใช้ความรุนแรงต่อชาวโรฮิงญา กลุ่มชาติพันธ์ุกลุ่มน้อย ผู้นำอินโดนีเซียและมาเลเซียซึ่งมีประชากรมุสลิมประมาณ 90 % และศาสนาอิสลามเป็นศาสนารัฐ ได้ทำการพิจารณาด้านระดับนานาชาติและด้านมนุษย์ธรรม เช่นเดียวกับความคิดเห็นของประชาชน นี้เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความเสถียรภาพในประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศไทยที่นับถือศาสนาพุทธกับการปกครองแบบรัฐทหารและประเทศฟิลิปปินส์ที่มีศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ


ความสำคัญของอาเซียนในฐานะชุมชนภูมิภาคกำลังถูกทดสอบ


มีการเรียกร้องจากชุมชนนานาชาติให้ทำการปลดประเทศเมียนมาออกจากสมาชิก ASEAN และการกระทำที่ล่วงเกินนั้นของรัฐบาลทหารนั้นได้รับการลงโทษด้านเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การขับไล่อาจนำไปสู่การกักขังอย่างร้ายแรงและทำให้สถานการณ์ของประเทศแย่ลงกว่าเดิม


ในเชิงนี้ สมาชิกอาเซียนมีนโยบายไม่แทรกแซงเรื่องภายในของสมาชิกอาเซียนประเทศอื่น นี้เป็นเพราะว่าความหลากหลายชาติพันธ์ุของชุมชนสมาชิกอาเซียน


เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นทวีปที่เล็กที่มีการผสมผสานของศาสนาหลักทั้ง 3

(ศาสนาพุทธ, ศาสนาคริสต์ และ ศาสนาอิสลาม) และความหลากหลายในด้านการเมืองการปกครอง (ระบอบทุนนิยม ระบอบสังคมนิยม, ประชาธิปไตย, การปกครองแบบรัฐทหารและเผด็จการ) นี่เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสหภาพยุโรป ที่ซึ่งก่อตั้งและสร้างประชาธิปไตยและศาสนาคริสต์เป็นพื้นฐานของการเมืองและวัฒนธรรมที่สำคัญ


อาเซียนได้ถูกนำโดยเสนอแนวคิดทางภูมิศาสตร์เชิงนโยบายที่ให้ลำดับความสำคัญกับการร่วมมือภายในภูมิภาคในด้านเศรษฐกิจเพื่อรักษาอิทธิพลและภาพลักษณ์ภายนอก ท่ามกลางการเติบโตของจีนและอินเดีย และการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่เกิดจากการแทรกแซงเรื่องภายในประเทศ


ในแง่นี้ การเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติเมื่อเร็ว ๆ นี้ในการจัดประชุมแบบพบหน้ากันที่อินโดนีเซียแทนที่จะเป็นประเทศที่เป็นประธาน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งการประชุมปกติเกือบพันครั้งถูกจัดขึ้นแบบออนไลน์ นั้นเป็นที่น่าสังเกตุ


อาเซียนจะเปลี่ยนจากความสัมพันธ์ที่หลวมตามผลประโยชน์ไปสู่ความเป็นเอกภาพตามอุดมการณ์หรือไม่? พัฒนาการในอนาคตเป็นสิ่งที่รอคอยด้วยความคาดหวัง


อ้างอิง: บทความของนิตยสาร Economist ชื่อ "เมียนมาอาจเป็นรัฐที่ล้มเหลวในเอเชีย" และอื่น ๆ


 

ขอบคุณที่อ่านจนจบ เพื่อข้อสงสัยหรือการปรึกษาเกี่ยวกับเนื้อหา กรุณาติดต่อเราผ่านแบบฟอร์มสอบถามความคิดเห็น

Comments


bottom of page